ช่วงชีวิต ของ มิคาอิลที่ 7 ดูคาส

มิคาอิลที่ 7 เสด็จพระราชสมภพในช่วงระหว่างประมาณ ค.ศ. 1050 ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ทรงเป็นบุตรชายคนโตของ คอนสแตนตินที่ 10 ดูคัส พระราชบิดาและอดีตจักรพรรดิไบแซนไทน์ และ ยูโดเกีย มักเรมโบลิทิซซา พระราชมารดา[1] พระองค์ทรงร่วมช่วยงานราชกิจพระราชบิดาในช่วงปลายปี 1059 ร่วมกันกับ คอนสแตนติออส ดูคัส พระอนุชาของพระองค์ [2] เมื่อพระราชบิดาเสียชีวิตในปี 1067 ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 17 ปี พระองค์แสดงความสนพระทัยในการเมืองไม่มากเท่าที่ควร แต่ในขณะนั้นสมเด็จพระราชมารดาและพระปิตุลาของพระองค์ ไคซาร์แห่งไบแซนไทน์ จอห์น ดูคัส ได้ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการในนามพระจักรพรรดิในระหว่างที่พระองค์ยังไม่สามารถในเรื่องการบริหารราชกิจ[3]

ณ วันที่ 1 มกราคม 1068 พระราชมารดาของพระองค์ได้อภิเษกกับนายทัพและขุนนางอย่าง โรมานอส ไดโอจีนิส ด้วยในพระปรมาภิไธย "โรมานอสที่ 4 ไดโอจีนิส" โดยพระองค์สืบราชสมบัติในฐานะของสมเด็จพระจักรพรรดิอาวุโสและผู้อารักขาสามพระราชบุตรของอดีตจักรพรรดิ[4] ต่อมาโรมานอสที่ 4 ทรงพ่ายแพ้ต่อสุลต่านอัลป์ อาซลัน สุลต่านแห่งจักรวรรดิเซลจุคเติร์ก ในยุทธการที่มันซิเคิร์ท ช่วงเดือนสิงหาคม 1071 และถูกจับกุมตัว[5] ตัวมิคาอิลเองยังคงทรงงานพระราชกิจอย่างเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลังในเงาของจักรพรรดิผู้อารักขาพระองค์ ในขณะพระปิตุลาพระองค์ จอห์น ดูคัส [6] ได้มีความคิดที่พยายามจะลดทอนพระราชอำนาจของโรมานอส ไดโอจีนิส ในฐานะที่ทรงเป็นพระปิตุลาและไกซาร์แห่งราชสำนักไบแซนไทน์ และพระอาจารย์ของพระองค์เองอย่างมิคาอิล เซโลสก็มีความคิดเห็นที่ตรงกัน จึงได้ใช้พระอำนาจภายหลังที่โรมานอสถูกจับในยุทธการที่มันซิเคิร์ท เพิ่มพระราชอำนาจของจักรพรรดินียูโดกีอาให้บริหารราชกิจร่วมกับพระราชบุตรอย่างเต็มที่ จากนั้นได้บังคับให้พระนางออกบวชเป็นแม่ชี ทำให้ตำแหน่งจักรพรรดิว่างลง มิคาอิล ดูคัส จึงได้ขึ้นสู่ราชสมบัติในพระปรมาภิไธย "มิคาอิลที่ 7 ดูคัส" ภายใต้การบริหารราชกิจของพระปิตุลาของพระองค์เอง

ในขณะที่สองผู้มีพระคุณยังคงถือพระราชอำนาจบริหารราชกิจในจักรวรรดิในนามพระองค์ ตัวพระองค์เองเริ่มหันเหไปยังสมุหกองพระคลังอย่างนีกิโฟริทซิส ซึ่งเคยเป็นขุนนางที่ดำรงตำแหน่งสมุหพระเลขานุการส่วนพระองค์ในรัชกาลพระจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 10 โมโนมาโคสและปลัดบัญชาการมณฑลทหารเฮลลาสและหมู่เกาะเพโลโปนิเซียนในรัชกาลของโรมานอสที่ 4 ไดโอจีนิส ก่อนจะถูกเรียกกลับมารับราชการภายในราชสำนักในภายหลัง[7] พระองค์ทรงมีการอนุญาตให้นีกิโฟริทซิสเพิ่มอัตราพิกัดภาษีและค่าใช้จ่ายของฟุ่มเฟือยใหม่อีกครั้งให้มากขึ้นกว่าเดิมในขณะที่กองทัพไม่ได้รับการปรับปรุงในทางที่ควร และในฐานะจักรพรรดิแล้ว พระองค์ขาดซึ่งความสามารถในการบริหารราชกิจ อีกทั้งถูกห้อมล้อมไปด้วยข้าราชการที่แสวงหาแต่อำนาจและบดบังสายพระเนตรของพระองค์จากทัศนวิสัยในการบริหารราชกิจ ทำให้ฐานของจักรวรรดิค่อย ๆ พังทลายลง เมื่อในสถานการณ์คับขันจวนตัว เหล่าข้าราชการของจักรวรรดิจะใช้วิธีการยึดทรัพย์สินและแม้กระทั่งการเวนคืนทรัพย์สมบัติบางส่วนของคริสตจักร กองทัพที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างที่สมควรก็มีแนวโน้มที่จะทำการกบฏต่อราชสำนัก อีกทั้งไบแซนไทน์เสียเมืองบารี ซึ่งเป็นเมืองหลวงและปราการสุดท้ายของรัฐคาเตปันแห่งอิตาลี หัวเมืองในการปกครองของไบแซนไทน์ อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าค้าทาสสลาฟที่สำคัญแห่งหนึ่งของไบแซนไทน์ในอิตาลี ให้กับโรเบิร์ต กิสการท์ ชาวนอร์มันที่เข้ามารุกรานคาบสมุทรอิตาลีและบอลข่านในการศึกรุกรานของชาวนอร์มันในปี 1071 [8] อีกทั้งยังต้องรับมือกับกบฏในภูมิภาคบัลแกเรียน ซึ่งเป็นกบฏที่พยายามจะสถาปนาจักรวรรดิบัลแกเรียอีกครั้ง [7] แม้ว่าจอมทัพอย่างนีกิโฟรอส ไบรเอนนีออสจะสามารถปราบกบฏได้สำเร็จ [7]แต่จักรวรรดิไบแซนไทน์ก็ไม่สามารถกู้คืนความสูญเสียในเขตเอเชียไมเนอร์ที่เกิดขึ้นได้อีกเลย

Miliaresion ของจักรพรรดิมิคาอิลที่ 7 ดูคัสพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์เบืองหลังมงกุฎศักดิ์สิทธิ์แห่งฮังการี

หลังจากสิ้นสุดยุทธการที่มันซิเคิร์ท ส่วนราชการได้ส่งกองทัพใหม่ไปจัดการชาวเซลจุคเติร์กอีกครั้งโดยการนำทัพของจอมทัพ (strategos autokrator) และปลัดสำนักบัญชาการตะวันออกอิคซัค คอมนีโนส หรือไอแซค คอมนีโนส สมเด็จพระเชษฐาธิราชของอนาคตพระจักรพรรดิอเล็กซิออสที่ 1 กอมนีโนส และพ่ายแพ้กลับมา อีกทั้งตัวไอแซคเองก็ถูกจับในปี 1073 [9] ปัญหาทางการทหารและสถานการณ์ของจักรวรรดิดังกล่าวร้ายแรงขึ้นเมื่อทหารรับจ้างชาวนอร์มันในการดูแลของเออร์เซลิออส หรือ ฟรังโกโปลอส ก่อกบฏต่อราชสำนักและจอห์น ดูคัสพ่ายแพ้ต่อกบฏ และถูกสถาปนาเป็นจักรพรรดิซ้อนโดยชาวนอร์มัน[9]

การยุทธต่อต้านเซลจุคดังกล่าวที่ราชสำนักพ่ายแพ้ อีกทั้งทหารรับจ้างตะวันตกที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ทำให้จอห์น ดูคัส มีสถานะที่ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้สืบราชสมบัติในกาลต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รัฐบาลของมิคาอิลที่ 7 ดูคัสถูกบังคับให้ยอมรับการพิชิตเอเชียไมเนอร์ของจักรวรรดิเซลจุคในปี 1074 และราชสำนักก็ได้ขอเจรจาเรื่องทางการทหารกับเซลจุคเติร์ก และกองทัพใหม่ภายใต้การนำพาของอเล็กซิออส กอมนีโนสร่วมกับชาวเซลจุคโดยการสนับสนุนของสุลต่านมาลิค ชาห์ที่ 1 สามารถพิชิตกองลาตินิกอนและจับกุมสมเด็จพระปิตุลา จอห์น ดูคัสกลับมาได้ในปี 1074 [10]

เรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในตลอดรัชสมัยของพระองค์ ก็เท่าทวีคูณเมื่อพระองค์ประกาศลดค่าเงินลง จนเกิดพระนามรองของพระองค์นาม "พาราไพนากิส" หรือ "ลบเศษหนึ่งส่วนสี่"

ต่อมาในปี ค.ศ. 1078 จอมทัพ นีกิโฟรอส ไบรเอนนีออส และ นีกิโฟรอส โบทานีอาตีส ได้ก่อหวอดกบฏทั้งในบอลข่านและอนาโตเลียโดยพร้อมเพรียงกัน [11] โบทานีอาตีสได้รับการสนับสนุนจากเซลจุค และสามารถเข้าถึงนครคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ ตัวพระองค์เองถูกบังคับให้สละราชสมบัติในวันที่ 31 เดือนมีนาคม 1078 และเกษียณพระองค์ไปยังโบสถ์หลวงแห่งสโตดิออส [12] ต่อมาพระองค์ได้ดำรงตำแหน่งอุปมนตรีของเมืองในอาณัติศาสนจักรเอเฟซัสและเสียชีวิตในคอนสแตนติโนเปิลในปี 1090 [13]

[14] จาก เหวินเซี่ยนทงเข่า ที่บันทึกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวจีนอย่าง หม่าต้วนหลิน (1245–1322) และ ซ่งฉื่อ โดยรู้กันในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิไบแซนไทน์ "มิคาอิลที่ 7 พาราไพนากิส ไคเซอร์แห่งฝูหลิน" (เมี่ยลี่ชาหลิงไกซา 滅力沙靈改撒 โดยพระอิสริยยศไกเซอร์ที่จีนกล่าวถึงนี้ เป็นอิสริยยศที่ทับมาจากตำแหน่งที่เรียกขานในเอกสารก่อนหน้านี้ โดยถือว่าพระยศไคเซอร์ในมุมมองของจีนเป็นบาซิลิอุสแห่งไบแซนไทน์ และเมี่ยลี่ชาหลิงคือพระนามของพระองค์ ส่วนคำว่าฝูหลิน 拂菻 มาจากคำว่า Hrom หรือ From ในภาษาซอกเดียนซึ่งหมายถึงไบแซนเทียม) ได้ส่งทูตไปยังราชวงศ์ซ่ง ของจีนซึ่งมาถึงในเดือนพฤศจิกายน 1081 ในรัชสมัยของจักรพรรดิเสินจงแห่งซ่ง (ร. 1067–1085) [15][16]